
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ณ นครรัฐวาติกัน มิใช่เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังเป็นมหากาพย์ที่ถูกเล่าขานผ่านกาลเวลากว่าสหัสวรรษ เป็นศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณของคริสตจักรโรมันคาทอลิก เวทีแห่งประวัติศาสตร์โลก และผืนผ้าใบที่เหล่ามหาบุรุษแห่งศิลปะได้ฝากผลงานอันเป็นอมตะไว้ การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของมหาวิหารแห่งนี้ คือการเดินทางย้อนกลับไปสู่รากฐานแห่งศรัทธา ความทะเยอทะยานของเหล่าพระสันตะปาปา และยุคสมัยแห่งการปฏิวัติทางความคิดและศิลปะที่หล่อหลอมโลกตะวันตก
จุดเริ่มต้น ณ เนินสุสาน: มหาวิหารหลังแรกของคอนสแตนติน
เรื่องราวของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เริ่มต้นขึ้นบนเนินวาติกัน (Vatican Hill) ซึ่งในสมัยโรมันโบราณเป็นพื้นที่นอกกำแพงเมืองและเป็นสุสาน (Necropolis) ที่ฝังศพของสามัญชน รวมถึงชาวคริสต์จำนวนมากที่ถูกประหารชีวิตในรัชสมัยจักรพรรดิเนโร ตามธรรมประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เชื่อกันว่า ณ ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่นักบุญเปโตร (St. Peter) อัครสาวกองค์สำคัญและพระสันตะปาปาองค์แรก ถูกตรึงกางเขนแบบกลับหัวและฝังร่างไว้ราวปี ค.ศ. 64

เป็นเวลากว่า 250 ปี ที่หลุมศพของท่านเป็นเพียงอนุสรณ์สถานเล็กๆ ที่ชาวคริสต์ลักลอบมาสักการะท่ามกลางการเบียดเบียนทางศาสนา จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์มาถึงในรัชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช ผู้ทรงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์และทำให้ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมัน พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะสร้างมหาวิหารอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญเปโตร โดยทรงเลือกที่จะสร้างทับสุสานโบราณแห่งนั้น

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์หลังแรก หรือที่รู้จักในชื่อ “มหาวิหารคอนสแตนติน” (Old St. Peter’s Basilica) เริ่มก่อสร้างราวปี ค.ศ. 326-333 และเสร็จสมบูรณ์ในอีก 30 ปีต่อมา เป็นมหาวิหารขนาดมหึมาตามแบบสถาปัตยกรรมบาซิลิกาโรมัน มีทางเดิน 5 ช่วง (five naves) และยืนหยัดเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรตะวันตกมานานเกือบ 1,200 ปี เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดิหลายพระองค์ (เช่น ชาร์เลอมาญ ในปี ค.ศ. 800) และเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของผู้แสวงบุญจากทั่วสารทิศ
ยุคเรอเนซองส์: การทุบทิ้งเพื่อสร้างใหม่
เมื่อกาลเวลาผ่านไปกว่าพันปี มหาวิหารหลังเก่าเริ่มทรุดโทรมอย่างหนัก โครงสร้างไม่มั่นคงและผนังเริ่มเอียง ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง กระแสลมแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ได้พัดพาเข้ามายังกรุงโรม ปลุกพลังแห่งการสร้างสรรค์ ความรู้ และความทะเยอทะยานขึ้นมาใหม่ เหล่าพระสันตะปาปาในยุคนี้มิได้เป็นเพียงผู้นำทางศาสนา แต่ยังเป็นผู้ปกครองรัฐและองค์อุปถัมภ์ศิลปะวิทยาการที่ทรงอำนาจ

ในปี ค.ศ. 1505 สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ผู้มีฉายาว่า “พระสันตะปาปานักรบ” (The Warrior Pope) ทรงตัดสินพระทัยครั้งประวัติศาสตร์ที่จะทุบมหาวิหารหลังเก่าที่ยืนยงมากว่า 1,200 ปีทิ้ง และสร้างมหาวิหารหลังใหม่ที่ยิ่งใหญ่และงดงามกว่าเดิมอย่างหาที่เปรียบมิได้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของพระศาสนจักรและเป็นสุสานที่คู่ควรสำหรับพระองค์เอง

ศตวรรษแห่งการก่อสร้าง: สมรภูมิแห่งอัจฉริยภาพ
การวางศิลาฤกษ์มหาวิหารหลังใหม่มีขึ้นในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1506 โครงการนี้กลายเป็นมหาโครงการที่ใช้เวลายาวนานถึง 120 ปี ผ่านรัชสมัยของพระสันตะปาปา 20 พระองค์ และเป็นเวทีประชันฝีมือของสถาปนิกและศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัย
- โดนาโต บรามันเต (Donato Bramante): สถาปนิกคนแรกผู้วางรากฐาน เขาออกแบบมหาวิหารในแผนผังรูปกากบาทกรีก (Greek cross) ที่มีแขนสี่ด้านเท่ากัน และมีโดมขนาดมหึมาอยู่ตรงกลาง ซึ่งสะท้อนถึงอุดมคติแห่งความสมบูรณ์แบบและสมมาตรของสถาปัตยกรรมยุคเรอเนซองส์ตอนต้น

โดนาโต ดันเจโล บรามันเต (ค.ศ. 1444 – 11 มีนาคม ค.ศ. 1514) เป็นสถาปนิกชาวอิตาลี ซึ่งเป็นผู้นำรูปแบบหรือสไตล์ที่เรียกว่าเออร์ลี่เรเนซองส์เข้ามาในเมืองมิลาน และไฮเรเนซองส์สู่โรม ซึ่ง ณ โรมแห่งนี้ เขาได้ทำการออกแบบผลงานที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกได้แก่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Basilica)
- ราฟาเอล และคณะ: หลังการเสียชีวิตของบรามันเต ศิลปินเอกอย่างราฟาเอลได้เข้ามาสานต่องาน พร้อมกับสถาปนิกอีกหลายคน แนวคิดเริ่มเปลี่ยนไปสู่แผนผังรูปกางเขนละติน (Latin cross) ที่มีส่วนของทางเดินยาวขึ้น เพื่อรองรับการประกอบพิธีกรรมและผู้คนจำนวนมากได้ดีกว่า

เป็นจิตรกรชาวอิตาลีที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดาจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา
- มีเกลันเจโล บัวนาร์โรตี (Michelangelo Buonarroti): ในปี ค.ศ. 1547 สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 3 ได้ทรงแต่งตั้งมีเกลันเจโล ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 71 ปี ให้เป็นหัวหน้าสถาปนิก มีเกลันเจโลได้รื้อแผนเดิมบางส่วนและหวนกลับไปสู่แนวคิดกากบาทกรีกของบรามันเต แต่ได้ปรับแก้ให้โครงสร้างแข็งแรงและยิ่งใหญ่ขึ้น ผลงานชิ้นเอกที่กลายเป็นมรดกของเขาคือ โดม (The Dome) อันเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิหาร เขาออกแบบโดมสองชั้นที่มีโครงสร้างอันชาญฉลาดและสง่างาม แม้เขาจะเสียชีวิตก่อนที่โดมจะสร้างเสร็จ แต่แบบจำลองและพิมพ์เขียวของเขาก็เป็นแนวทางให้สถาปนิกรุ่นหลัง (จาโกโม เดลลา ปอร์ตา และ โดเมนีโก ฟอนตานา) สร้างต่อจนสำเร็จในปี ค.ศ. 1590

- คาร์โล มาเดอร์โน (Carlo Maderno): ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 มาเดอร์โนได้รับมอบหมายให้ต่อเติมส่วนหน้าของมหาวิหารให้ยาวออกมาเป็นแบบกางเขนละตินอย่างสมบูรณ์ และออกแบบ ฟาซาด (Façade) หรือด้านหน้าอาคารอันใหญ่โตมโหฬารที่เราเห็นในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะถูกวิจารณ์ว่าบดบังความงามของโดมเมื่อมองจากจัตุรัสด้านหน้า แต่ก็สร้างความรู้สึกโอ่อ่าและยิ่งใหญ่ให้กับผู้มาเยือน

เป็นสถาปนิกชาวอิตาลี
ศิลปะบาโรก และการเติมเต็มโดยแบร์นินี
แม้โครงสร้างหลักของมหาวิหารจะเสร็จสมบูรณ์และประกอบพิธีเสกในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1626 แต่จิตวิญญาณของมหาวิหารยังต้องการการเติมเต็มขั้นสุดท้ายโดยศิลปินเอกแห่งยุคบาโรก จัน โลเรนโซ แบร์นินี (Gian Lorenzo Bernini) ผู้ทำงานรับใช้พระสันตะปาปาหลายพระองค์ ได้อุทิศเวลากว่า 50 ปี เพื่อรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกที่กำหนดภูมิทัศน์ทั้งภายในและภายนอกมหาวิหาร

- จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Square): แบร์นินีออกแบบลานกว้างรูปวงรีที่โอบล้อมด้วยแนวเสาขนาดใหญ่ 4 แถว ซึ่งเปรียบเสมือน “อ้อมแขนของพระศาสนจักรที่โอบรับมวลมนุษยชาติ”

- บัลดัคคิโน (Baldacchino): ซุ้มทองสัมฤทธิ์ขนาดมหึมาที่บิดเป็นเกลียว ตั้งอยู่เหนือแท่นบูชาเอกและหลุมฝังศพของนักบุญเปโตร เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างพื้นดินเบื้องล่างและยอดโดมบนสวรรค์

- บัลลังก์นักบุญเปโตร (Cathedra Petri): ประติมากรรมสัมฤทธิ์อันวิจิตรตระการตาที่ห่อหุ้มบัลลังก์ไม้โบราณซึ่งเชื่อว่าเป็นของนักบุญเปโตร ประดับด้วยเหล่าเทวดาและนักปราชญ์แห่งคริสตจักร เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจการสอนของพระสันตะปาปา

บทสรุปแห่งประวัติศาสตร์
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์จึงเป็นมากกว่าอาคาร แต่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีชีวิตชีวาซึ่งเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับประวัติศาสตร์ เป็นผลลัพธ์ของศรัทธาที่ไม่สั่นคลอน การเมืองที่เข้มข้น และการแข่งขันของเหล่าอัจฉริยะทางศิลปะ ในศตวรรษที่ 20 การขุดค้นทางโบราณคดีภายใต้มหาวิหารได้ค้นพบสุสานโรมันโบราณและหลักฐานที่บ่งชี้อย่างยิ่งว่าเป็นที่ตั้งดั้งเดิมของหลุมฝังศพนักบุญเปโตรจริง ซึ่งเป็นการยืนยันรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่สืบทอดกันมานับพันปี




ทุกวันนี้ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ยังคงยืนหยัดเป็นประจักษ์พยานแห่งประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่แสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นคลังศิลปะที่ประเมินค่ามิได้ บอกเล่าเรื่องราวของมนุษยชาติที่พยายามจะสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อถวายเป็นเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า