เวนิส (Venice Italy) ดินแดนแห่งสายน้ำโรแมนติก - Grazie Travel

เวนิส (Venice Italy) ดินแดนแห่งสายน้ำโรแมนติก

by Grazie Travel

เมืองเวนิส หรือ เวเนเซีย จุดหมายปลายทางอันสุดโรแมนติกของเหล่าคู่รัก ตั้งอยู่ ณ แคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี เมืองเวนิสเป็นเกาะ ที่อยู่ห่างออกไปในทะเลเอเดรียติก เกิดจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวน 118 เกาะและมีสะพานเชื่อมมากกว่า 400 แห่ง เป็นเมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก ด้วยความสวยงามราวกับเป็นภาพที่อยู่ในความฝัน ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเกาะแห่งนี้ ได้รับฉายามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) และเมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light) และ องค์การ unesco ยกให้เมืองเวนิส เป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลก เวนิชเป็นเมืองที่มีการใช้คลองสำหรับการคมนาคมทำให้เรือเป็นพาหนะเป็นหลัก เมืองในฝันแห่งนี้จึงไม่มีความวุ่นวายของมลพิษหรือเสียงดังจากรถยนต์ คุณสามารถเพลิดเพลินกับการเดินชมเมืองหรือจะนั่งเรือชมเมืองด้วยความรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริงมีอาคารบ้านเรือน จวบจนร้านค้าต่างๆตั้งอยูริมคลอง มีเรือพายให้บริการในการเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ ของเมือง มีบริการท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ธรรมชาติอันสวยงามวิจิตร 2  ฝั่งคลองโดยเรือ ซึ่งเวนิสเป็นเมืองที่มีคลองมากกว่าถนนอีกแห่งหนึ่งในโลก  ในแวดวงวรรณกรรม เวนิส เป็นที่รู้จักจาก เรื่อง พ่อค้าแห่งเวนิส บทประพันธ์ของ วิลเลียม เชคสเปียร์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงนำมาประพันธ์เป็นบทละครชื่อ เวนิสวานิช แต่บทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงก้องโลกที่สุด คือ Romeo and Juliet เชื่อกันว่า เวนิส เป็นถิ่นกำเนิดของทั้งคู่ ส่งเสริมให้ เวนิส เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โรแมนติกที่สุดในโลก

สัญลักษณ์ของเวนิสอีกอย่างหนึ่งคือ เรือกอนโดลา กอนโดลามีรูปร่างเพียวสง่าและดูเนี้ยบ ที่มีเอกลักษณ์และคุณสมบัติแบบนี้ก็เพราะขั้นตอนการสร้างที่พิถีพิถันและซับซ้อนขึ้นอยู่กับเทคนิคและหลักการที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงนับศตวรรษมาแล้ว ส่วนประกอบของมันทั้งหมดมี 280 ชิ้นลักษณะไม้เข้าลิ้นทำขึ้นด้วยมือและมันถูกนำมาเชื่อมต่อกันพอดีกันเหมือนจิ๊กซอว์ มีความเชื่อมาว่า ถ้าคู่รักได้จูบกันเมื่อตอนระฆังปาไนล์ดังตอนเย็น ขณะลอดข้ามสะพานถอนหายใจถือว่าคนนั้นจะรักกันยืนนาน เรือกอนโดลาสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปจุผู้โดยสารได้ลำละไม่เกิน 6 ท่าน ทั้งนี้บนเกาะเวนิสยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่เราไม่ครวพลาด

มหาวิหารซานมาร์โค (St.Mark’s Basilica)

มหาวิหารซานมาร์โค (St.Mark’s Basilica) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิก  ระดับมหาวิหารประจำเขตอัครบิดรเวนิสในประเทศอิตาลี สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแบบกอทิก มหาวิหารซันมาร์โกที่เป็นตัวอย่างอันสำคัญของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ตั้งอยู่ที่จัตุรัสซันมาร์โกติดและเชื่อมกับปาลัซโซดูกาเล  โครงสร้างหลักๆ ประกอบไปด้วยประตูซุ้มโค้งห้าแห่งคล้ายกับศิลปะโรมัน เดิมตัวโบสถ์เป็นโบสถ์น้อยของประมุขผู้ครองเวนิส ตัวสิ่งก่อสร้างเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างอย่างงดงามประดับด้วยงานโมเสกแบบไบแซนไทน์ และ ประติมากรรมต่างที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ อำนาจ และ ความมั่งคั่งของเวนิส ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 ก็ได้รับสมญาว่า “Chiesa d’Oro” หรือ “โบสถ์ทอง”

จัตุรัสซานมาร์โก (Piazza San Macro)

จัตุรัสซานมาร์โก (Piazza San Macro) จัตุรัสที่โด่งดังที่สุดของเวนิส เราจะสะดุดตากับหอระฆังสูงตระหง่านเป็น ศูนย์กลางอันคึกคักแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในชีวิตของชาวเวนิสมากว่า 10 ศตวรรษชาวเวนิสเรียกพื้นที่กลางแจ้งขนาดใหญ่แห่งนี้ว่า El Piazza ถ้ามีโอกาศลองมาที่นี่ในหลายๆช่วงเวลาของวันแล้วคุณจะได้พบกับความมีเสน่ห์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา มาในตอนเช้าตรู่เพื่อชมภาพพระอาทิตย์ขึ้นอันน่าประทับใจที่มาพร้อมสีสันงดงาม ตอนกลางวันเพื่อสัมผัสบรรยากาศอันคึกคัก หรือจะมาตอนเย็นเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศอันโรแมนติกยามค่ำคืนก็ได้ เพลิดเพลินกับเครื่องดื่มที่คาเฟ่ริมทางเดินที่เรียงรายอยู่บริเวณจัตุรัส

หอระฆังซานมาร์โก (St.Mark’s Campanile) ตั้งอยู่ในลานซันมาร์โก (Piazza San Marco) หอระฆังแห่งนี้คือหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดของเมือง หอระฆังสูง 98.6 เมตร ตั้งอยู่ใกล้กับด้านหน้ามหาวิหารซันมาร์โก หอระฆังแห่งนี้มีรูปแบบที่เรียบง่าย สร้างอิฐสี่เหลี่ยมเรียงกันเป็นชั้นๆ เหนือขึ้นไปมีระเบียงล้อมรอบหอระฆัง ซึ่งประกอบด้วยระฆัง 5 ใบ ส่วนบนของหอระฆังเป็นลูกบาศก์สี่เหลี่ยมที่มีรูปหน้าของสิงโตซันมาร์โก (Lion of Saint Mark) ประดับอยู่โดยรอบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐเวนิสและตัวแทนผู้หญิงของเมืองเวนิส หลังคาของหอระฆังถูกครอบด้วยยอดแหลมทรงพีระมิด หอระฆังแห่งนี้สร้างขึ้นในรูปแบบของหอเดิม ที่สร้างตั้งแต่ ค.ศ. 1514 โดยหอระฆังปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ใน ค.ศ. 1912 หลังจากการพังทลายใน ค.ศ. 1902 และมีซ่อมใหม่ฐานรากใหม่เพื่อที่จะหยุดการทรุดตัวของหอระฆัง

สะพานริอัลโต (Ponte di Rialto)

สะพานริอัลโต (Ponte di Rialto) สะพานที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงสุดในเวนิส และเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของเมืองเวนิส เป็นจุดถ่ายภาพที่สำคัญแห่งหนึ่ง จุดเด่นของสะพานรีอัลโตคือมีหลังคาคลุมสะพานที่สวยงามซึ่งเป็นสะพานแบบมีหลังคานี้สร้างโดย Antonio Da Ponte ชนะจิตรกรชื่อดังอย่าง Michelangelo ในการทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างสะพานนี้ สะพาน Rialto สร้างขึ้นแทนที่สะพานเก่าสมัยปลายศตวรรษที่ 12 โดยผสมผสานความงามเข้ากับประโยชน์ใช้สอย ส่วนโค้งของสะพานมีความสูง 7.5 เมตร ซึ่งสูงพอให้เรือลอดผ่านไปได้ และยังเป็นย่านการค้าเก่าแก่ของเมืองมาตั้งแต่พันปีก่อนคริสตกาล

สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs)

สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำพาเลซ ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อระหว่างห้องสอบสวนของวังดยุกเข้ากับเรือนจำซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของลำน้ำ  ชื่อของสะพานนี้ตั้งโดยลอร์ดไบรอน กวีแห่งศตวรรษที่ 19 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานท้องถิ่น นักโทษที่เดินข้ามไปยังเรือนจำมักจะถอนหายใจ เนื่องจากพวกเขาจะได้เห็นเมืองผ่านหน้าต่างและเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นแสงอาทิตย์ สะพานโค้งทอดข้ามคลองมีหลังคามีผนังแข็งแรงกันไม่ให้นักโทษกระโดดน้ำ ถ้าเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นประดับสะพานซึ่งเป็นรูปใบหน้าที่มีทั้งความสุขและความเศร้า การล่องเรือตามแม่น้ำไปยังสะพานก็เป็นที่มาของอีกทฤษฎีหนึ่งว่าทำไมสะพานจึงได้ชื่อนี้ เรื่องนี้กล่าวถึงคู่รักที่ล่องเรือกอนโดลายามพระอาทิตย์ตกและจุมพิตกันใต้สะพาน พวกเขาได้รับความรักและความสุขชั่วนิรันดร์ การถอนหายใจนี้เนื่องจากตื้นตันไปกับความโรแมนติก 

วังดอเจ (Palazzo Ducale)

วังดอเจ (Palazzo Ducale)  เป็นวังสถาปัตยกรรมกอทิกแบบเวนิส เป็นหนึ่งในจุดหมายตาสำคัญของเมือง วังแห่งนี้เคยเป็นที่พำนักของดอเจแห่งเวนิส ผู้ปกครองสูงสุดของอดีตสาธารณรัฐเวนิส ทั้งนี้ยังเป็นที่ทำงานของเหล่าขุนนางต่างๆ เป็นที่ประชุม เป็นที่ตัดสินคดีความต่างๆและเป็นศูนย์รวมอำนาจของเวนิสอีกด้วย วังแห่งนี้สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1340 และได้รับการต่อเติมอีกหลายครั้งตลอดหลายศตวรรษ อาคารแรกเริ่มเป็นอาคารแบบปิดล้อมรอบไปด้วยกำแพงวัง ต่อมาจึงปรับปรุงเป็นอาคารเปิดหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ และมีการขยายวังไปจนสุดริมคลอง แม้ภายนอกวังจะเป็นสถาปัตยกรรมกอทิก แต่ภายในวังถูกตกแต่งด้วยมัณฑนศิลป์หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบไบแซนไทน์, เรอแนซ็องส์ และคลาสสิกใหม่ วังแห่งนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ใน ค.ศ. 1923

เทศกาลเวนิสคาร์นิวัล (Venice Carnival)

ทั้งนี้ที่เกาะเวนิสมีเทศกาลที่น่าสนใจคืองานเฉลิมฉลอง เทศกาลเวนิสคาร์นิวัล (Venice Carnival) ที่จะจัดขึ้นทุกปีในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์งานเทศกาลหน้ากากแห่งเมืองเวนิสนี้มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1268 ซึ่งถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นเฉลิมฉลองก่อนเริ่มวันถือศีลของชาวคริสต์หรือในช่วง 40 วันก่อนถึงวันอีสเตอร์นั่นเอง เทศกาลหน้ากาก ณ เมืองเวนิสแห่งนี้ก็คือความหลากหลายและประเภทของหน้ากาก และการแต่งกายของผู้คน ซึ่งจะมีทั้งแบบย้อนยุคแฟนซี ตัวละครในเทพนิยาย หรือสัตว์ต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของผู้นั้น โดยหน้ากากแบบดั้งเดิมของชาวเวนิสนั้น เป็นหน้ากากที่มีสีขาวทรงปลายแหลมคล้ายปากนก แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปหน้ากากก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยด้วยเช่นกัน ส่วนคอสตูมการแต่งกายของผู้คนนั้นก็จะเลือกที่ให้เข้ากับหน้ากากที่สวมใส่ แต่เราสนใจ สามารถซื้อหน้ากากกลับไปเป้นของที่ระลึกได้นะค่ะ

เครดิตรูปภาพจาก

commons.wikimedia.org