Fraumünster Church: สถาปัตยกรรม–หน้าต่าง Chagall & Giacometti

วิหารเฟรามุนสเตอร์ (Fraumünster Church) – ความงดงามแห่งซูริกที่ผสานศิลปะและประวัติศาสตร์

by Grazie Travel

กลางใจเมืองเก่าของซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งประวัติศาสตร์และศิลปะมาบรรจบกันอย่างงดงามริมฝั่งแม่น้ำลิมมัต ที่นั่นคือที่ตั้งของ วิหารเฟรามุนสเตอร์ (Fraumünster) โบสถ์เก่าแก่ที่ไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถานที่สำคัญ แต่ยังเป็นหอศิลป์ที่เก็บซ่อนผลงานมาสเตอร์พีซอันล้ำค่าไว้ภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าต่างกระจกสีที่รังสรรค์โดยศิลปินระดับโลกอย่าง มาร์ก ชากาลล์ (Marc Chagall) ที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกให้ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต

ประวัติความเป็นมา

วิหารเฟรามุนสเตอร์ถูกก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 (ราวปี ค.ศ. 853) โดย พระเจ้า Louis the German เพื่อใช้เป็นอารามของแม่ชีเบเนดิกติน (Benedictine nuns) สำหรับสตรีชนชั้นสูงในยุคนั้น ในช่วงยุคกลาง วิหารแห่งนี้มีอำนาจและอิทธิพลอย่างมาก ทั้งในด้านศาสนา การเมือง และเศรษฐกิจของซูริก

เมื่อเวลาผ่านไป แม้บทบาททางการเมืองจะลดลง แต่ความงดงามด้านสถาปัตยกรรมและศิลปะยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ปัจจุบันวิหารเฟรามุนสเตอร์เป็นโบสถ์โปรเตสแตนต์ และเปิดให้ผู้คนเข้าชมเพื่อสัมผัสบรรยากาศทางศาสนาและศิลปกรรมอันทรงคุณค่า

แสงสีอันน่าหลงใหลผ่านกระจกสีของ มาร์ค ชากัลล์

ไฮไลท์สำคัญที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้มายังวิหารแห่งนี้ คือ หน้าต่างกระจกสี (Stained Glass Windows) ผลงานการออกแบบของศิลปินเอก มาร์ค ชากัลล์ (Marc Chagall) ที่ท่านได้รังสรรค์ไว้ในช่วงท้ายของชีวิต

เมื่อแสงแดดสาดส่องผ่านกระจกสีทั้ง 5 บาน เรื่องราวจากพระคัมภีร์ไบเบิลจะกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งผ่านสีสันอันสดใสและลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม สีเขียวมรกต หรือสีแดงเพลิง แต่ละบานต่างเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันไป สร้างบรรยากาศอันสงบและเปี่ยมด้วยมนต์ขลังให้แก่ผู้มาเยือน นอกจากนี้ อย่าลืมเงยหน้าชมความงดงามของหน้าต่าง “The Heavenly Paradise” โดยศิลปินอีกท่านอย่าง ออกุสโต จาโกเมตติ (Augusto Giacometti) ซึ่งก็มีความงดงามไม่แพ้กัน

สถาปัตยกรรมพันปีและประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหา

นอกเหนือจากหน้าต่างกระจกสีแล้ว ตัววิหารเองก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,000 ปี แต่เดิมเคยเป็นสำนักชีสำหรับสตรีชนชั้นสูงในยุโรป ทำให้สถาปัตยกรรมมีการผสมผสานระหว่างศิลปะยุคโรมาเนสก์และโกธิกอย่างลงตัว ภายในยังเป็นที่ตั้งของไปป์ออร์แกนที่ใหญ่ที่สุดในซูริก ซึ่งเสียงของมันยังคงดังก้องกังวานไปทั่วโถงวิหารในพิธีกรรมต่างๆ