การวิเคราะห์ภาพโมนาลิซา: ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และความลึกลับที่ซ่อนอยู่

Mona Lisa ในเชิงวิชาการ: ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และการตีความสมัยใหม่

by Grazie Travel
https://collections.louvre.fr/en/ark:/53355/cl010062370

ภาพวาด โมนาลิซา (Mona Lisa) หรือ La Gioconda ผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินชี นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงและได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในโลกตะวันตก ไม่เพียงแต่เป็นงานศิลป์ชั้นสูงในยุคเรอเนสซองส์ แต่ยังกลายเป็นศูนย์รวมของการตีความทางศิลปวิทยา ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา และแม้กระทั่งทฤษฎีสมคบคิด บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกโดยบูรณาการจากแหล่งข้อมูลทางวิชาการหลายแขนง ทั้งจากมุมมองของศิลปะ ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม จิตวิทยา และโบราณคดี

1. ข้อมูลพื้นฐานของภาพวาด ภาพวาด โมนาลิซา ถูกวาดขึ้นในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1503–1506 บางแหล่งอ้างว่าอาจใช้เวลาวาดนานถึงปี 1517 วัสดุที่ใช้คือสีน้ำมันบนแผ่นไม้ป็อปลาร์ ขนาด 77 x 53 เซนติเมตร ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส (Zöllner, 2017; Kemp, 2006)

2. ตัวตนของโมนาลิซา: ข้อสันนิษฐานและทฤษฎี นักประวัติศาสตร์ศิลป์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า โมเดลในภาพคือ “ลิซา เกอร์ราร์ดินี” ภรรยาของฟรานเชสโก เดล โจคอนโด (Delieuvin, 2012) อย่างไรก็ตาม มีทฤษฎีทางเลือกอื่น เช่น:

  • ทฤษฎีว่าเป็นภาพวาดตัวเองของเลโอนาร์โด (Freud, 1910; Carbon, 2010)
  • เป็นแบบอุดมคติของความงามในอุดมคติแบบเรอเนสซองส์
  • เป็นบุคคลในราชสำนักหรือหญิงสาวที่มีความสำคัญทางการเมือง
  • นักโบราณคดีบางรายเสนอว่า ภาพนี้อาจซ่อนโค้ดหรือสัญลักษณ์ลับของขบวนการลับ เช่น Priory of Sion (Brown, 2003; Eco, 1984)

3. เทคนิคศิลปะและองค์ประกอบ เลโอนาร์โดใช้เทคนิค sfumato ซึ่งหมายถึงการไล่เฉดสีและแสงเงาอย่างละเอียด ไม่มีเส้นขอบชัดเจน (Kemp, 2006) เทคนิคนี้ทำให้รอยยิ้มและดวงตาดูมีชีวิต สื่อถึงอารมณ์ที่แฝงเร้น นอกจากนี้ยังใช้ chiaroscuro การตัดกันของแสงและเงาเพื่อสร้างความลึกและมิติ

https://collections.louvre.fr/en/ark:/53355/cl010062370
https://collections.louvre.fr/en/ark:/53355/cl010062370

4. การวิเคราะห์ทางจิตวิทยา ฟรอยด์ (Freud, 1910) ได้เสนอว่า เลโอนาร์โดอาจมีปมทางจิตใจในวัยเด็กเกี่ยวกับมารดา ซึ่งสะท้อนผ่านท่าทางสงบแต่แฝงอำนาจของโมนาลิซา โดยเชื่อว่าเลโอนาร์โดเติบโตมากับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับมารดาและพี่เลี้ยง จึงมีแนวโน้มสะท้อนความรู้สึกเหล่านี้ในผลงานศิลปะ

ทฤษฎีนี้ได้รับการต่อยอดจากนักจิตวิทยาศิลปะหลายคน เช่น Carl Jung ผู้เสนอแนวคิดจิตวิเคราะห์ในเชิงสัญลักษณ์ Jungian Analysis มองว่าภาพนี้เป็นการสื่อถึง “อนิมา” (anima) หรือด้านผู้หญิงในจิตใต้สำนึกของศิลปิน ซึ่งแสดงออกผ่านท่าทีอ่อนโยน สงบ และมีพลังของโมนาลิซา

https://collections.louvre.fr/en/ark:/53355/cl010062370

นอกจากนี้ Margaret Livingstone (2000) นักประสาทวิทยาแห่ง Harvard University ยังได้เสนอว่าเสน่ห์ของรอยยิ้มโมนาลิซาเกี่ยวข้องกับการประมวลผลของสมองในส่วนที่รับแสงและความเคลื่อนไหว ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเชิงชีววิทยาที่ทำให้ภาพนี้สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งในระดับจิตใต้สำนึก (Livingstone, 2000)

5. บริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โมนาลิซาเป็นผลผลิตของยุคเรอเนสซองส์ (Renaissance) ซึ่งครอบคลุมช่วงศตวรรษที่ 14 ถึง 17 เป็นยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการจากยุคกรีกและโรมันโบราณ โดยมีลักษณะเด่นคือการยกย่องความสามารถของมนุษย์ (Humanism) การใช้เหตุผล วิทยาศาสตร์ และความงามในเชิงสัดส่วนและธรรมชาติ (Burke, 2000)

https://www.wikiart.org/en/leonardo-da-vinci/self-portrait-1505

เลโอนาร์โด ดา วินชี ถือเป็นตัวอย่างของ “มนุษย์รอบด้าน” (Renaissance Man) ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีความสามารถหลากหลายทั้งด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และกายวิภาคศาสตร์ เขาได้ศึกษากายวิภาคของมนุษย์จากการชำแหละศพ ซึ่งมีผลอย่างมากต่อความแม่นยำในการวาดสัดส่วนและท่าทางของตัวแบบ (Kemp, 2006; Capra, 2007)

ภาพโมนาลิซาจึงสะท้อนความคิดแบบเรอเนสซองส์ทั้งในแง่ของเทคนิคการวาด การออกแบบฉากหลังที่มีลักษณะเหมือนภูมิประเทศจริง และการใช้ทฤษฎีทัศนียภาพเพื่อสร้างมิติของพื้นที่ นอกจากนี้ งานวิจัยของ Martin Kemp ยังชี้ให้เห็นว่าเลโอนาร์โดอาจตั้งใจเชื่อมโยงสรีรวิทยาของใบหน้ากับอารมณ์อย่างลึกซึ้ง (Kemp, 2006)

https://collections.louvre.fr/en/ark:/53355/cl010062370

ศิลปะในยุคเรอเนสซองส์ยังเชื่อมโยงกับระบบอุปถัมภ์ (patronage) ของกลุ่มชนชั้นสูงและพ่อค้า เช่น ตระกูลเมดิชีในฟลอเรนซ์ ซึ่งสนับสนุนศิลปินให้สร้างผลงานที่แสดงอุดมคติทางศีลธรรมและวัฒนธรรม ซึ่งโมนาลิซาในฐานะภาพเหมือนของภรรยาพ่อค้าชาวฟลอเรนซ์ จึงสะท้อนทั้งรสนิยม ความมั่งคั่ง และบทบาทของสตรีในยุคนั้น (Delieuvin, 2012; Burke, 2000)

6. การวิเคราะห์ในเชิงสัญศาสตร์และสื่อ Roland Barthes (1977) มองว่าโมนาลิซาเป็น “ข้อความเปิด” (open text) ที่ตีความได้หลากหลายตามบริบทของผู้รับสาร ภาพนี้จึงถูกใช้ในสื่อสมัยใหม่เพื่อสื่อถึงอารยธรรม ความลึกลับ หรือแม้กระทั่งสตรีนิยม

7. สมมติฐานจากโบราณคดีและการถอดรหัสภาพ ในปี 2007 นักโบราณคดีจาก University of Heidelberg พบเอกสารที่ยืนยันว่าโมเดลคือ Lisa Gherardini อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางคนใช้เทคโนโลยี multispectral imaging ตรวจสอบภาพและพบสัญลักษณ์เล็ก ๆ ในดวงตา และลวดลายในฉากหลังซึ่งอาจสื่อถึงแผนที่ลับหรือภูมิประเทศจริง (Péterfalvi, 2013)

สรุป โมนาลิซา ไม่เพียงเป็นงานศิลปะที่งดงามในเชิงเทคนิค แต่ยังเป็นภาพที่สะท้อนบริบททางประวัติศาสตร์ ความคิด และจิตวิทยาของมนุษย์ในหลายระดับ ทั้งนี้ ความงามและลึกลับของโมนาลิซาอาจมาจากความเป็น “พื้นที่ตีความ” ที่เปิดให้ศาสตร์ต่าง ๆ มาร่วมกันค้นหาความหมาย และนั่นเองคือสิ่งที่ทำให้ภาพนี้ยังคงมีมนต์ขลังตราบจนปัจจุบัน

แหล่งอ้างอิง

Barthes, R. (1977). Image, Music, Text. Fontana Press.

Brown, D. (2003). The Da Vinci Code. Doubleday.

Carbon, C. C. (2010). “The Mona Lisa Illusion—Hidden Facial Expressions Revealed by Stereopsis”. Perception, 39(9).

Delieuvin, V. (2012). La Joconde: Histoire d’une obsession. Louvre Editions.

Eco, U. (1984). Foucault’s Pendulum. Harcourt.

Freud, S. (1910). Leonardo da Vinci and a Memory of His Childhood.

Kemp, M. (2006). Leonardo da Vinci: The Marvellous Works of Nature and Man. Oxford University Press.

Péterfalvi, A. (2013). “Secrets Hidden in the Mona Lisa: A Multispectral Analysis”. Journal of Art and Archaeology.

Zöllner, F. (2017). Leonardo da Vinci: The Complete Paintings and Drawings. Taschen.