มหาวิหารซานตามาเรียเดลฟิโอเร่: ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และตำนานแห่งฟลอเรนซ์

มหาวิหารซานตา มาเรีย เดล ฟิโอเร่ (Cattedrale di Santa Maria del Fiore) : หัวใจแห่งฟลอเรนซ์และสัญลักษณ์เรอเนสซองส์

by Grazie Travel

มหาวิหารซานตามาเรียเดลฟิโอเร (Cattedrale di Santa Maria del Fiore) หรือที่รู้จักในนาม “ดูโอโมแห่งฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral)” มิได้เป็นเพียงอาสนวิหารประจำเมืองฟลอเรนซ์ แต่คืออนุสรณ์สถานแห่งความศรัทธา ความมั่งคั่ง และจิตวิญญาณอันทะเยอทะยานของสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ในยุคที่กำลังก้าวสู่ความรุ่งโรจน์ การก่อสร้างที่กินเวลายาวนานกว่า 140 ปี สะท้อนภาพการแข่งขันทางอำนาจ นวัตกรรมทางวิศวกรรม และอัจฉริยภาพทางศิลปะที่หล่อหลอมประวัติศาสตร์ยุคกลางตอนปลายและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

จุดเริ่มต้นแห่งศตวรรษที่ 13: สัญลักษณ์ใหม่แห่งอำนาจ

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 ฟลอเรนซ์ไม่ได้เป็นเพียงเมืองธรรมดา แต่เป็นศูนย์กลางการค้า การเงิน และอุตสาหกรรมผ้าที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป อำนาจที่เพิ่มพูนของสมาคมพ่อค้า (Guilds) และชนชั้นปกครอง ประกอบกับความต้องการที่จะแสดงแสนยานุภาพให้ทัดเทียมหรือเหนือกว่าคู่แข่งอย่างปิซาและซีเอนา ซึ่งต่างก็มีมหาวิหารอันโอ่อ่าเป็นของตนเอง ทำให้โครงการก่อสร้างมหาวิหารหลังใหม่เพื่อแทนที่โบสถ์ซานตาเรปาราตา (Santa Reparata) ที่เก่าแก่และมีขนาดเล็กกว่าจึงถือกำเนิดขึ้น

โบสถ์ซานตาเรปาราตา (Santa Reparata) ภายในซานตามาเรียเดลฟิโอเร (ฟลอเรนซ์)

ในปี ค.ศ. 1296 ศิลาฤกษ์แรกได้ถูกวางลงภายใต้การควบคุมของสถาปนิกและประติมากรนาม อาร์โนลโฟ ดี กัมบิโอ (Arnolfo di Cambio) เขาคือผู้วางรากฐานและวิสัยทัศน์แรกเริ่มของมหาวิหารแห่งนี้ ดี กัมบิโอได้ออกแบบโครงสร้างหลักในรูปแบบสถาปัตยกรรมกอทิกอิตาลี ที่เน้นความสูงสง่าและความกว้างใหญ่ของพื้นที่ภายใน แต่ยังคงความเรียบง่ายของผนังภายนอกตามแบบฉบับทัสกานี แผนผังของเขาประกอบด้วยโถงทางเดินยาวสามช่วง (Nave) และมุขโค้งแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออก (Apse) ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลาต่อมา นั่นคือ “จะสร้างหลังคาโดมคลุมพื้นที่ขนาดมหึมานี้ได้อย่างไร?”

อาร์นอลโฟ ดิ คัมบิโอ สถาปนิกและประติมากรชาวอิตาลี

ยุคแห่งความชะงักงันและภัยพิบัติ

การก่อสร้างดำเนินไปได้ไม่นานก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่ออาร์โนลโฟ ดี กัมบิโอ เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1302 ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โครงการจึงถูกทิ้งร้างไปนานเกือบ 30 ปี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1334 สมาคมผู้ค้าขนสัตว์ (Arte della Lana) ซึ่งเป็นสมาคมที่มั่งคั่งที่สุด ได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก และได้แต่งตั้งศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค จอตโต ดี บอนโดเน (Giotto di Bondone) ขึ้นเป็นหัวหน้าสถาปนิก (Capomaestro)

จอตโต ดี บอนโดเน (Giotto di Bondone) สถาปนิกและจิตรกรชาวอิตาลี

แม้จอตโตจะมีชื่อเสียงด้านจิตรกรรม แต่เขาก็ได้ทุ่มเทความสนใจให้กับการออกแบบและก่อสร้าง หอระฆัง (Campanile) ที่ตั้งตระหง่านเคียงข้างมหาวิหาร หอระฆังของจอตโตคือภาพสะท้อนของสถาปัตยกรรมกอทิกที่สมบูรณ์แบบ ประดับด้วยหินอ่อนหลากสีและงานประติมากรรมนูนต่ำที่บอกเล่าเรื่องราวของมวลมนุษยชาติ น่าเศร้าที่จอตโตเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1337 ทิ้งไว้เพียงฐานชั้นล่างของหอระฆัง ก่อนที่โครงการจะถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตการณ์ “มรณะดำ” (Black Death) ในปี ค.ศ. 1348 ซึ่งคร่าชีวิตประชากรไปกว่าครึ่งเมือง ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงักไปอีกครั้ง

หอระฆัง (Campanile)

วิกฤตการณ์โดม: ความท้าทายที่ไร้คำตอบ

หลังผ่านพ้นภัยพิบัติ การก่อสร้างมหาวิหารได้ดำเนินต่อไปภายใต้การควบคุมของสถาปนิกหลายคน อาทิ ฟรานเชสโก ทาเลนติ (Francesco Talenti) และ โจวานนี ดิ ลาโป กินี (Giovanni di Lapo Ghini) ซึ่งได้ขยายขนาดของโถงทางเดินให้ยาวขึ้นและขยายฐานของโดมให้กว้างยิ่งขึ้นไปอีก จนถึงปี ค.ศ. 1418 โครงสร้างหลักของมหาวิหารเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว นั่นคือ ช่องโหว่ขนาดมหึมาของโดม ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 45 เมตร และตั้งอยู่บนความสูงกว่า 50 เมตรจากพื้นดิน

ฟรานเชสโก ทาเลนติ (Francesco Talenti)
สถาปนิกและประติมากรชาวทัสกันที่ทำงานส่วนใหญ่ในฟลอเรนซ์

นี่คือวิกฤตการณ์ทางวิศวกรรมครั้งประวัติศาสตร์ ไม่มีใครในยุคนั้นรู้วิธีที่จะสร้างโดมขนาดใหญ่นี้ได้ เทคนิคการก่อสร้างแบบโรมันโบราณได้สูญหายไป การใช้โครงค้ำยันไม้ (Centering) จากพื้นดินขึ้นไปก็ดูจะเป็นไปไม่ได้เนื่องจากความสูงและขนาดที่ใหญ่เกินไป อีกทั้งยังสิ้นเปลืองไม้จำนวนมหาศาล ปัญหานี้ได้กลายเป็นความอับอายของชาวฟลอเรนซ์ และเป็นเครื่องหมายคำถามที่ท้าทายสติปัญญาของสถาปนิกและวิศวกรทั่วยุโรป

อัจฉริยภาพของบรูเนลเลสกี: คำตอบจากยุคเรอเนสซองส์

ในปี ค.ศ. 1418 คณะกรรมการโอเปราเดลดูโอโม (Opera del Duomo) ได้จัดการประกวดแบบเพื่อค้นหาวิธีการสร้างโดมขึ้น ในที่สุด ช่างทองและประติมากรผู้มีความสนใจในศาสตร์ของโรมโบราณอย่างลึกซึ้ง นามว่า ฟีลิปโป บรูเนลเลสกี (Filippo Brunelleschi) ก็ได้ก้าวเข้ามาพร้อมกับข้อเสนอที่ปฏิวัติวงการวิศวกรรม

ฟีลิปโป บรูเนลเลสกี (Filippo Brunelleschi)
ประติมากรชาวอิตาลี เขาถือเป็นบิดาผู้ก่อตั้งสถาปัตยกรรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

บรูเนลเลสกีเสนอแนวคิดที่ไม่มีใครคาดคิด เขาจะสร้างโดมโดย “ไม่ต้องใช้โครงค้ำยันแบบดั้งเดิม” เขามองการณ์ไกลไปถึงการออกแบบโครงสร้างโดมให้สามารถรองรับน้ำหนักของตัวมันเองได้ในขณะก่อสร้าง ข้อเสนอหลักของเขาประกอบด้วย:

  1. โดมซ้อนสองชั้น (Double Shell): สร้างโดมอิฐสองชั้น ชั้นในหนาและแข็งแรงเพื่อรับน้ำหนักโครงสร้าง และชั้นนอกที่บางกว่าเพื่อป้องกันสภาพอากาศและให้รูปทรงที่สง่างาม ช่องว่างระหว่างโดมทั้งสองชั้นช่วยลดน้ำหนักโดยรวมและเป็นทางเดินสำหรับคนงาน
  2. โครงสร้างกระดูกงู (Ribs): ใช้โครงสร้างหินทรายหลัก 8 ชิ้นที่มุมของแปดเหลี่ยม และโครงสร้างรองอีก 16 ชิ้น สอดแทรกระหว่างกันเพื่อเป็นโครงกระดูกรับน้ำหนักของโดม
  3. การเรียงอิฐแบบลายก้างปลา (Herringbone Pattern): บรูเนลเลสกีคิดค้นเทคนิคการเรียงอิฐแบบพิเศษที่เรียกว่า “สปินาเปเช” (spinapesce) ซึ่งช่วยยึดอิฐแต่ละชั้นเข้าด้วยกันและกระจายน้ำหนักลงสู่โครงสร้างหลัก ทำให้ผนังโดมไม่พังทลายลงมาในระหว่างการก่อสร้าง
  4. เครื่องจักรกลพิเศษ: เขาได้ประดิษฐ์เครื่องยกและรอกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังวัว ซึ่งสามารถลำเลียงวัสดุก่อสร้างหนักหลายร้อยกิโลกรัมขึ้นไปยังความสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้จะถูกมองด้วยความกังขาในตอนแรก แต่ด้วยความอัจฉริยะและการสาธิตที่น่าทึ่ง บรูเนลเลสกีก็ได้รับความไว้วางใจให้ดำเนินโครงการนี้ การก่อสร้างโดมเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1420 และสำเร็จลุล่วงในปี ค.ศ. 1436 ถือเป็นชัยชนะของภูมิปัญญามนุษย์และเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์ โดมของบรูเนลเลสกียังคงเป็นโดมอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาจนถึงทุกวันนี้

การตกแต่งขั้นสุดท้าย: สู่ความสมบูรณ์

แม้โดมจะเสร็จสมบูรณ์ แต่มหาวิหารยังคงรอคอยการตกแต่งในขั้นตอนสุดท้าย โคมตะเกียง (Lantern) ที่อยู่บนยอดสุดของโดม ซึ่งออกแบบโดยบรูเนลเลสกีเช่นกัน ถูกสร้างขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของเขา และลูกบอลทองแดงพร้อมกางเขนโดยอันเดรอา เดล แวร์รอกคิโอ (Andrea del Verrocchio) ซึ่งมีเลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นลูกศิษย์ในขณะนั้น ได้ถูกนำขึ้นไปติดตั้งในปี ค.ศ. 1466

ในส่วนของ ด้านหน้าอาคาร (Façade) ที่อาร์โนลโฟ ดี กัมบิโอ ได้เริ่มไว้นั้น ถูกรื้อถอนออกไปในปลายศตวรรษที่ 16 และปล่อยให้เป็นผนังอิฐเปลือยมานานหลายร้อยปี จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 ใกล้กับการรวมชาติอิตาลี จึงมีการประกวดแบบเพื่อสร้างส่วนหน้าอาคารขึ้นใหม่ และแบบที่ชนะคือของ เอมิลิโอ เด ฟาบริส (Emilio De Fabris) ในปี ค.ศ. 1871 เขาได้ออกแบบส่วนหน้าอาคารในรูปแบบฟื้นฟูกอทิก (Gothic Revival) ที่วิจิตรตระการตา ด้วยการใช้หินอ่อนหลากสีสัน (polychrome marble) สร้างเป็นลวดลายที่กลมกลืนกับหอระฆังของจอตโตและตัวมหาวิหารได้อย่างลงตัว และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1887

ประวัติศาสตร์ของมหาวิหารซานตามาเรียเดลฟิโอเรจึงเป็นมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ คือบทพิสูจน์แห่งความศรัทธาที่ไม่เคยสูญสิ้น คือเวทีแห่งการแข่งขันทางความคิดสร้างสรรค์ และคือสัญลักษณ์แห่งรุ่งอรุณของยุคใหม่ที่มนุษย์กล้าที่จะฝันและสร้างสรรค์สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นความจริงอันน่ามหัศจรรย์ที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน