ใจกลางกรุงเวียนนา ณ จัตุรัสสเตฟาน (Stephansplatz) ที่คึกคักไปด้วยผู้คน ที่ตั้งของ มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (Stephansdom) โบสถ์โกธิกอันงดงามตระการตา ไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถานสำคัญ แต่ยังเป็นดังจิตวิญญาณของชาติและพยานแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของออสเตรียมาเกือบสหัสวรรษ เรื่องราวของมหาวิหารแห่งนี้ถักทอเข้ากับชะตากรรมของเมืองและจักรวรรดิฮับส์บวร์กอย่างแยกไม่ออก

จุดเริ่มต้น ณ ซากโบสถ์โรมัน
ประวัติศาสตร์ของมหาวิหารเซนต์สตีเฟนเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1137 เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินระหว่างมาร์เกรฟเลโอโปลด์ที่ 4 แห่งบาวาเรีย และบิชอปแห่งพัสเซา เพื่อสร้างโบสถ์ประจำเขตแพริชแห่งใหม่ การก่อสร้างโบสถ์หลังแรกใน สถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ เสร็จสิ้นและได้รับการอุทิศแด่นักบุญสเทเฟนในปี ค.ศ. 1147 โบสถ์หลังนี้ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองเวียนนาในขณะนั้น หลักฐานจากยุคแรกเริ่มที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบันคือ หอคอยยักษ์ (Heidentürme) สองหอ และประตูทางเข้าหลักอันโอ่อ่า (Riesentor) ซึ่งสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ตั้งแต่ยุคกลางตอนต้น

การเปลี่ยนแปลงสู่สถาปัตยกรรมโกธิกอันรุ่งโรจน์
ในช่วงศตวรรษที่ 14 ภายใต้การปกครองของ ดยุครูดอล์ฟที่ 4 แห่งราชวงศ์ฮับส์บวร์ก ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มหาวิหารแห่งนี้ได้เริ่มการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสู่ สถาปัตยกรรมแบบโกธิก อันเป็นที่นิยมในยุคนั้น โครงสร้างเดิมแบบโรมาเนสก์ถูกขยับขยายและสร้างใหม่ให้มีความสูงโปร่งและโอ่อ่ายิ่งขึ้น มีการสร้างบริเวณร้องเพลงสวดประสานเสียงแบบโกธิก (Gothic Choir) ที่งดงาม

สัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของมหาวิหาร ซึ่งก็คือ หอคอยทิศใต้ (Südturm) หรือที่ชาวเวียนนารู้จักกันในชื่อ “Steffl” (ชเตฟเฟิล) ได้เริ่มก่อสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้และแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1433 ด้วยความสูง 136.7 เมตร หอคอยแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมโกธิก แต่ยังทำหน้าที่เป็นหอสังเกตการณ์หลักของเมือง เพื่อเฝ้าระวังอัคคีภัยและการรุกรานจากข้าศึกเป็นเวลาหลายศตวรรษ
ส่วน หอคอยทิศเหนือ (Nordturm) เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1467 แต่ไม่เคยสร้างเสร็จตามแบบแปลนเดิมที่ตั้งใจให้เป็นคู่แฝดกับหอคอยทิศใต้ การก่อสร้างหยุดชะงักลงและปิดท้ายด้วยหลังคาโดมแบบเรอเนซองส์ในปี ค.ศ. 1578 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่แขวน ระฆังพุมเมอริน (Pummerin Bell) ระฆังที่ใหญ่เป็นอันดับสองของยุโรป

เอกลักษณ์สำคัญอีกประการหนึ่งคือ หลังคากระเบื้องเคลือบ ที่ประกอบด้วยกระเบื้องกว่า 230,000 แผ่น วางลวดลายซิกแซกสีสันสดใส และโดดเด่นด้วยภาพนกอินทรีสองหัว ซึ่งเป็นตราแผ่นดินของจักรวรรดิฮับส์บวร์ก เป็นการประกาศอย่างชัดเจนถึงสถานะของมหาวิหารในฐานะศูนย์กลางทางศาสนาของจักรวรรดิ


บทบาทในหน้าประวัติศาสตร์และภัยพิบัติ
มหาวิหารเซนต์สตีเฟนไม่ได้เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างที่สวยงาม แต่ยังมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มากมาย เป็นสถานที่จัดพิธีอภิเษกสมรสและพิธีศพของเหล่าราชวงศ์ฮับส์บวร์กมาหลายศตวรรษ สุสานใต้ดิน (Katakomben) ของมหาวิหารเป็นที่พำนักสุดท้ายของเชื้อพระวงศ์และบุคคลสำคัญมากมาย

มหาวิหารแห่งนี้รอดพ้นจากการถูกทำลายหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง การล้อมกรุงเวียนนาโดยจักรวรรดิออตโตมัน ในปี ค.ศ. 1529 และ 1683 อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นในช่วงท้ายของ สงครามโลกครั้งที่สอง ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 เมื่อเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่จากการสู้รบในเมือง ไฟได้ทำลายหลังคาจนพังทลายลงมา ทำให้ระฆังพุมเมอรินดั้งเดิมตกลงมาแตกกระจาย และสร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ภายใน
การฟื้นฟูและความสำคัญในปัจจุบัน
แม้จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาวออสเตรียทั้งชาติ มหาวิหารเซนต์สตีเฟนก็ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์อย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง จนสามารถเปิดทำการอีกครั้งได้ในปี ค.ศ. 1952 การฟื้นฟูมหาวิหารกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการถือกำเนิดใหม่ของประเทศออสเตรียหลังสงคราม

ในปัจจุบัน มหาวิหารเซนต์สตีเฟนยังคงยืนหยัดอย่างสง่างาม เป็นหัวใจของกรุงเวียนนา เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญ และเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่าล้านคนในแต่ละปี การได้ขึ้นไปบนหอคอยเพื่อชมทิวทัศน์ของเมือง หรือการได้ย่างเท้าเข้าไปในโถงอันเงียบสงบ คือการได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์ที่ยังมีลมหายใจ เป็นการย้อนรอยอดีตอันรุ่งเรืองและโศกนาฏกรรม เพื่อตระหนักว่ามหาวิหารแห่งนี้เป็นมากกว่าสิ่งก่อสร้าง แต่คือสัญลักษณ์แห่งความศรัทธา ความอดทน และจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ของชาวเวียนนาและชาวออสเตรียทั้งมวล

