
ในหน้าประวัติศาสตร์การเดินเรือของโลก มีเรื่องราวของเรือเพียงไม่กี่ลำที่ตรึงใจผู้คนได้เท่า “วาซา” (Vasa) เรือรบหลวงแห่งราชอาณาจักรสวีเดน เรื่องราวของวาซามิใช่ตำนานแห่งชัยชนะในสมรภูมิรบ แต่เป็นมหากาพย์แห่งความทะเยอทะยาน โศกนาฏกรรมอันน่าตระหนก และการฟื้นคืนชีพอันน่าทึ่งจากก้นบึ้งของท้องทะเล บันทึกประวัติศาสตร์ที่จับต้องได้ซึ่งหลับใหลนานถึง 333 ปี
กำเนิดแห่งความยิ่งใหญ่: สัญลักษณ์แห่งอำนาจในยุคมหาอำนาจบอลติก
ต้นศตวรรษที่ 17 คือยุคทองของสวีเดนภายใต้การปกครองของกษัตริย์กุสตาฟที่ 2 อดอล์ฟ (Gustavus II Adolphus) ผู้ทรงปรีชาสามารถด้านการทหาร พระองค์ทรงมีความมุ่งมั่นที่จะขยายอำนาจของสวีเดนให้เป็นมหาอำนาจแห่งทะเลบอลติก (Dominium maris baltici) สงครามกับโปแลนด์-ลิทัวเนียกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และกองทัพเรือที่แข็งแกร่งคือหัวใจสำคัญในการประกาศแสนยานุภาพและควบคุมเส้นทางการค้า

ในปี ค.ศ. 1625 กษัตริย์กุสตาฟที่ 2 อดอล์ฟ ทรงมีพระราชบัญชาให้ต่อเรือรบหลวงลำใหม่ที่ยิ่งใหญ่และทรงอานุภาพที่สุดเท่าที่สวีเดนเคยมีมา เรือลำนี้จะมิใช่เพียงเรือรบ แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ ความมั่งคั่ง และความเกรียงไกรของราชวงศ์วาซาและราชอาณาจักรสวีเดน ชื่อ “วาซา” จึงถูกขนานนามตามชื่อราชวงศ์ผู้ก่อตั้งประเทศ

การก่อสร้างเรือวาซาเริ่มต้นขึ้นในปี 1626 ณ อู่ต่อเรือหลวงในกรุงสตอกโฮล์ม ภายใต้การควบคุมของเฮนริก ฮีเบิร์ตส์สัน (Henrik Hybertsson) ปรมาจารย์ช่างต่อเรือชาวดัตช์ผู้มากประสบการณ์ ต้นโอ๊กกว่า 1,000 ต้นถูกโค่นลงเพื่อนำมาสร้างเรือที่มีความยาวถึง 69 เมตร (226 ฟุต) และสูง 52.5 เมตร (172 ฟุต) จากกระดูกงูถึงยอดเสากระโดง ที่สำคัญที่สุด เรือลำนี้ถูกออกแบบให้บรรทุกปืนใหญ่สำริดจำนวนมากถึง 64 กระบอก บนดาดฟ้าปืนสองชั้น ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่น่าเกรงขามในยุคนั้น นอกจากความน่าเกรงขามด้านอาวุธแล้ว วาซายังถูกประดับประดาด้วยรูปแกะสลักไม้อันวิจิตรตระการตากว่า 700 ชิ้น ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวจากพระคัมภีร์ ตำนานเทพปกรณัมกรีก-โรมัน และประวัติศาสตร์สวีเดน เพื่อเชิดชูพระเกียรติยศขององค์กษัตริย์

10 สิงหาคม 1628: วันแห่งโศกนาฏกรรม
หลังจากใช้เวลาสร้างนานกว่าสองปี ในที่สุดวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1628 เรือวาซาก็พร้อมออกเดินทางในเที่ยวปฐมฤกษ์ บรรยากาศบริเวณท่าเรือหน้าพระราชวังเต็มไปด้วยฝูงชนชาวสตอกโฮล์มที่มารอชมความสง่างามของเรือรบหลวงลำใหม่ ท่ามกลางคณะทูตานุทูตและข้าราชบริพารชั้นสูง

กัปตันโซฟริง ฮันส์สัน (Söfring Hansson) ออกคำสั่งให้ถอนสมอเรือ วาซายิงสลุตเพื่อเป็นเกียรติและค่อยๆ กางใบเรือเพียง 4 ใบจากทั้งหมด 10 ใบ แล่นออกจากท่าอย่างช้าๆ ด้วยลมที่พัดเอื่อยๆ แต่เมื่อเรือแล่นไปได้เพียงประมาณ 1,300 เมตร (น้อยกว่าหนึ่งไมล์ทะเล) เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

ลมกระโชกแรงเพียงระลอกหนึ่งได้พัดปะทะใบเรือ ทำให้เรือวาซาเอียงไปทางกราบซ้ายอย่างรวดเร็ว แม้จะสามารถกลับมาตั้งลำได้ชั่วครู่ แต่ลมกระโชกครั้งที่สองที่แรงกว่าเดิมก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้เรือเอียงอย่างหนักจนน้ำทะเลทะลักเข้าทางช่องปืนใหญ่ชั้นล่างที่เปิดอยู่ เรือวาซาเสียการทรงตัวอย่างสิ้นเชิงและจมดิ่งลงสู่ก้นอ่าวสตอกโฮล์มอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาฝูงชนที่เฝ้ามองด้วยความตกตะลึง โศกนาฏกรรมครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 30-50 คน จากทั้งหมดราว 150 คนที่อยู่บนเรือ

ความฝันอันยิ่งใหญ่ของสวีเดนได้จมลงสู่ความมืดมิดและความเยือกเย็นของท้องน้ำในเวลาเพียงไม่กี่นาที การไต่สวนถูกจัดตั้งขึ้นทันทีเพื่อหาผู้รับผิดชอบ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีผู้ใดถูกลงโทษอย่างเป็นทางการ หลักฐานชี้ชัดว่าหายนะครั้งนี้เกิดจากการออกแบบที่ผิดพลาด เรือถูกสร้างให้สูงเกินไป มีจุดศูนย์ถ่วงสูง และส่วนใต้น้ำมีขนาดเล็กเกินกว่าจะรับน้ำหนักของปืนใหญ่และโครงสร้างส่วนบนที่ใหญ่โตได้ กล่าวได้ว่า ความทะเยอทะยานที่จะสร้างเรือให้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามที่สุด ได้นำไปสู่การละเลยหลักการพื้นฐานทางฟิสิกส์และเสถียรภาพของเรือนั่นเอง

การฟื้นคืนชีพแห่งศตวรรษที่ 20
เป็นเวลากว่าสามศตวรรษที่เรือวาซาถูกลืมเลือนและหลับใหลอยู่ใต้ตะกอนโคลน ณ ความลึก 32 เมตร แม้จะมีความพยายามกู้เรือในศตวรรษที่ 17 แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ทำได้เพียงกู้ปืนใหญ่สำริดอันล้ำค่าส่วนใหญ่ขึ้นมาได้เท่านั้น


ปืนใหญ่ 3 สุดท้ายกระบอกที่เหลือ
เรื่องราวของวาซาถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งในทศวรรษ 1950 โดย อันเดอร์ส ฟรานเซน (Anders Franzén) นักโบราณคดีใต้น้ำสมัครเล่นผู้มีความหลงใหลในประวัติศาสตร์ เขาเชื่อว่าสภาพน้ำที่เย็นและมีความเค็มต่ำของทะเลบอลติก ซึ่งไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของ “เพรียงเรือ” (Shipworm) ที่เป็นตัวการทำลายซากเรือไม้ในทะเลส่วนอื่นของโลก จะช่วยรักษาสภาพของเรือวาซาไว้ได้ หลังจากศึกษาเอกสารโบราณและค้นหาอย่างไม่ลดละเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดปี ค.ศ. 1956 ฟรานเซนก็ได้ค้นพบตำแหน่งที่เรือวาซาจมอยู่

ช่างเทคนิคการเดินเรือชาว สวีเดนและนักโบราณคดีทางทะเลสมัครเล่น
ปฏิบัติการกู้เรือวาซาจึงเริ่มต้นขึ้น ซึ่งนับเป็นโครงการโบราณคดีใต้น้ำที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น วิศวกรและนักประดาน้ำต้องทำงานแข่งกับเวลา ขุดอุโมงค์ 6 ช่องใต้ท้องเรือเพื่อสอดสายเคเบิลเหล็กสำหรับยกเรือขึ้นมาอย่างช้าๆ และแล้วในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1961 โครงสร้างเรือวาซาสีดำทะมึนที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์ ก็ได้โผล่พ้นผิวน้ำอีกครั้งท่ามกลางสายตาของชาวโลก หลังจากจมอยู่ใต้บาดาลนานถึง 333 ปี

มรดกที่ได้รับการอนุรักษ์
การนำเรือขึ้นจากน้ำเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ ภารกิจที่ท้าทายยิ่งกว่าคือการอนุรักษ์ไม้โอ๊กกว่าหมื่นชิ้นที่เปียกชุ่มและเปราะบางให้คงสภาพเดิมไว้ นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เวลานานถึง 17 ปีในการพ่นสารโพลีเอทิลีนไกลคอล (PEG) อย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าไปแทนที่โมเลกุลน้ำในเนื้อไม้ ป้องกันไม่ให้ไม้แตกและหดตัวเมื่อแห้ง

วันนี้ เรือรบวาซาไม่ได้เป็นเพียงซากเรือโบราณ แต่เป็นสมบัติล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ จัดแสดงอย่างสง่างามในฐานะหัวใจของพิพิธภัณฑ์วาซา (Vasa Museum) ในกรุงสตอกโฮล์ม ซึ่งเปิดให้เข้าชมในปี 1990 เรือที่คงสภาพเดิมกว่า 98% ลำนี้ เปรียบเสมือนแคปซูลกาลเวลาที่สมบูรณ์ที่สุดจากศตวรรษที่ 17 บอกเล่าเรื่องราวความรุ่งเรือง ความผิดพลาด และความพยายามของมนุษย์ได้อย่างทรงพลังยิ่งกว่าตำราเล่มใดๆ







เรื่องราวของวาซาจึงเป็นเครื่องเตือนใจว่า จากโศกนาฏกรรมที่เกิดจากความทะเยอทะยานอันเกินพอดี หากได้รับการศึกษาและอนุรักษ์อย่างถูกวิธี ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นมรดกทางความรู้อันประเมินค่ามิได้สำหรับคนรุ่นหลังสืบไป
อ้างอิง